พาไปทำความรู้จักกับ 24 ทีมชาติที่เข้าชิงแชมป์ยูโร 2024
ยูโร 2024 ที่จะเริ่มแข่งในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ทีมต่างๆ เริ่มทยอยประกาศรายชื่อนักเตะทีมชาติกันไปบ้างแล้ว โดยมีทั้งหมด 24 ทีมจะเข้าร่วมชิงชัยแชมป์ยุโรปที่ประเทศเยอรมนี หลายทีมได้การเปิดเผยรายชื่อผู้เล่นเบื้องต้น หรือรายชื่อผู้เล่น 26 คน
ทีมเต็งแชมป์ของทัวร์นาเมนต์นี้ ได้แก่ อังกฤษ ซึ่งมีนักเตะดาวรุ่งอย่าง อดัม วัตสัน, จาเรลล์ ควันซ่าห์ และเคอร์ติส โจนส์ เข้าร่วมกับนักเตะระดับแนวหน้าในทีมเบื้องต้นทั้งหมด 33 คน
คู่แข่งสำคัญของแกเร็ธ เซาธ์เกท ที่หวังจะกลายเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษคนที่ 2 ที่คว้าแชมป์รายการเมเจอร์ ได้แก่ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สเปน และโปรตุเกส ในขณะเดียวกัน ทีมม้ามืดอย่าง เนเธอร์แลนด์, โครเอเชีย และเดนมาร์ก ก็หวังที่จะสร้างผลงานในช่วงท้ายของการแข่งขันเช่นกัน
ทางฝั่ง สกอตแลนด์ ภายใต้การนำของ สตีฟ คลาร์ก ตั้งเป้าหมายทะลุเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้ เรายังได้รวบรวมข้อมูลของ 24 ทีมชาติ ว่ามีทีมไหนบ้าง เพื่อไปทำความรู้จักก่อนร่วมเชียร์ ยูโร 2024 เราไปดูกันเลย..
1. แอลเบเนีย (Albania)
ผู้จัดการทีม : ซิลวีญโญ
ผู้เล่นคนสำคัญ : อาร์มันโด บรอยา
โปรแกรมการแข่งขัน : อิตาลี (15 มิถุนายน), โครเอเชีย (19 มิถุนายน), สเปน (24 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : เคยเข้าร่วมการแข่งขัน (รอบแบ่งกลุ่ม) ในปี 2016
ทีมชาติแอลเบเนีย นำโดย ซิลวีญโญ ซึ่งเคยค้าแข้งกับอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ซิตี้ สามารถคว้าแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก โดยแซงหน้าทีมอย่าง เช็ก และ โปแลนด์ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับเมเจอร์เป็นครั้งที่ 2
แม้ว่าในศึกยูโร 2016 ทีมชาติแอลเบเนียจะไม่สามารถผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้ แต่พวกเขาก็สามารถปิดทัวร์นาเมนต์ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะโรมาเนีย 1-0 ในเกมสุดท้าย
2. ออสเตรีย (Austria)
ผู้จัดการทีม : ราล์ฟ รังนิค
ผู้เล่นคนสำคัญ : ผู้เล่นคนสำคัญ: คอนราด ไลม์เมอร์ (Poo Leen Kon Sam-khan: Kon-rat Lai-muh-er)
โปรแกรมการแข่งขัน : ฝรั่งเศส (17 มิถุนายน), โปแลนด์ (21 มิถุนายน), เนเธอร์แลนด์ (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2020)
ออสเตรียจบอันดับ 2 ในรอบคัดเลือกภายใต้การนำของราล์ฟ รังนิค อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดชั่วคราว แต่เหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ลงเล่นกับ ดาวิด อาลาบา กัปตันทีมและสตาร์ดังของเรอัล มาดริด ซึ่งพลาดการลงสนามไปในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังจากเอ็นร้อยหวายฉีกขาด
การเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในศึกยูโร 2020 คือผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาในรายการนี้ พวกเขาพ่ายแพ้อิตาลี ในช่วงต่อเวลาพิเศษที่เวมบลีย์
3. เบลเยียม (Belgium)
ผู้จัดการทีม : โดเมนิโก เทเดสโก
ผู้เล่นตัวหลัก : เคฟิน เดอ บรอยน์
โปรแกรมการแข่งขัน : สโลวาเกีย (17 มิถุนายน), โรมาเนีย (22 มิถุนายน), ยูเครน (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รองชนะเลิศ (1980)
“ปีศาจแดง” ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของศึกยูโรเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมภายใต้การนำของ โดเมนิโก เตเดสโก ผู้จัดการทีมคนใหม่ชาวอิตาลี-เยอรมัน
หลังจากที่เคยเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในสองครั้งล่าสุด เบลเยี่ยมหวังที่จะไปได้ไกลกว่าเดิมในครั้งนี้ แม้ว่าชุดนี้อาจจะขาดผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์เหมือนยุคทองที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงเป็นทีมที่มีคุณภาพสูง และมีดาวรุ่งพุ่งแรงอีกหลายคน
4. โครเอเชีย (Croatia)
ผู้จัดการทีม : ซลัตโก ดาลิช
ผู้เล่นตัวหลัก : ลูกา มอดริช
โปรแกรมการแข่งขัน : สเปน (15 มิถุนายน), แอลเบเนีย (19 มิถุนายน), อิตาลี (24 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (1996, 2008)
โครเอเชียม้ามืดตลอดกาลของทัวร์นาเมนต์ กระหายที่จะคว้าแชมป์รายการใหญ่เป็นครั้งแรก หลังจากเคยได้รองแชมป์โลก 2018, รองแชมป์เนชั่นส์ ลีก 2023 และอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์
กัปตัน Luka Modrić จะลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติเป็นครั้งที่ 9 โดยมีเพื่อนร่วมทีมรุ่นเก๋ามากประสบการณ์หลายคนน่าจะลงเล่นเป็นครั้งสุดท้ายในครั้งนี้อีกด้วย
5. เช็ก (Czech)
ผู้จัดการทีม : อีวาน ฮาเช็ก
ผู้เล่นตัวหลัก : ปาตริก ชิก
โปรแกรมการแข่งขัน : โปรตุเกส (18 มิถุนายน), จอร์เจีย (22 มิถุนายน), ตุรกี (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1976)
สาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน หลังจากจบอันดับที่ 2 ในกลุ่ม E
ทีมชาติชุดนี้มีนักเตะจากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด อย่าง โทมัส ซูเช็ค และ วลาดีมีร์ โซวฟาล รวมถึงดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง อดัม ฮโลเช็ค จากไบเออร์ เลเวอร์คูเซนอีกด้วย
6. เดนมาร์ก (Denmark)
ผู้จัดการทีม : แคสเปอร์ ฮูลมันด์
ผู้เล่นตัวหลัก : ราสมุส เฮอยลุนด์
โปรแกรมการแข่งขัน : สโลวีเนีย (16 มิถุนายน), อังกฤษ (20 มิถุนายน), เซอร์เบีย (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1992)
เดนมาร์ก ซึ่งเคยพ่ายแพ้ต่ออังกฤษในรอบรองชนะเลิศ ยูโร 2020 ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ในฐานะแชมป์กลุ่ม H
“เดอะ เดนส์” สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลด้วยการคว้าแชมป์ ยูโร 1992 หลังจากได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันแทนยูโกสลาเวียที่ถูกตัดสิทธิ์ เนื่องจากสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของประเทศ
7. อังกฤษ (England)
ผู้จัดการทีม : แกเร็ธ เซาธ์เกท
ผู้เล่นตัวหลัก : แฮร์รี่ เคน
โปรแกรมการแข่งขัน : เซอร์เบีย (16 มิถุนายน), เดนมาร์ก (20 มิถุนายน), สโลวีเนีย (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รองชนะเลิศ (2020)
เส้นทางการเข้ารอบสุดท้ายของอังกฤษนั้นไม่ยากลำบาก พวกเขาเอาชนะอิตาลีได้ทั้งสองนัด และเก็บได้ 4 แต้มจากการเจอกับยูเครน
แม้ว่าฟอร์มการเล่นในช่วงพักเบรกระหว่างประเทศเดือนมีนาคม จะไม่ค่อยดีนัก และยังมีความกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลายคนในทีม แต่คาดว่าอังกฤษน่าจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ไม่ยาก เนื่องจากคู่แข่งอย่าง อิตาลี ฝรั่งเศส และสเปน มีโอกาสที่จะอยู่ในสายการแข่งขันของพวกเขาในรอบต่อไปของการแข่งขัน
8. ฝรั่งเศส (France)
ผู้จัดการทีม : ดิดิเยร์ เดส์ชองส์
ผู้เล่นตัวหลัก : คีเลียน เอ็มบัปเป้
โปรแกรมการแข่งขัน : ออสเตรีย (17 มิถุนายน), เนเธอร์แลนด์ (21 มิถุนายน), โปแลนด์ (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1984, 2000)
ฝรั่งเศส ชุดนี้เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับแนวหน้า โดยถือเป็นทีมเต็งแชมป์รองจากอังกฤษในการแข่งขันครั้งนี้ พวกเขามุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์ยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2000
แม้ว่า “เลส์ เบลอส์” จะเคยเป็นรองแชมป์ในบ้านตัวเองเมื่อปี 2016 แต่สามารถกลับมาคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จหลังจากนั้น 2 ปี
9. จอร์เจีย (Georgia)
ผู้จัดการทีม : วิลลี่ ซาญอล
ผู้เล่นตัวหลัก : ควิชา ควารัตส์เคเลีย
โปรแกรมการแข่งขัน : ตุรกี (18 มิถุนายน), เช็ก (22 มิถุนายน), โปรตุเกส (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : –
จอร์เจีย จบรอบคัดเลือกด้วยอันดับที่ 4 แต่ผลงานในเนชั่นส์ลีก ทำให้พวกเขาได้สิทธิ์ไปเล่นรอบเพลย์ออฟ
ดินแดนแห่งทะเลดำแห่งนี้ การันตีการเข้าร่วมการแข่งขันระดับเมเจอร์ครั้งแรกในฐานะชาติเอกราช ด้วยการชนะจุดโทษตัดสินเหนือกรีซ ควิชา ควารัตส์เคเลีย ดาวเด่นของสโมสรนาโปลี ย่อมเป็นหนึ่งในนักเตะที่น่าจับตามองในศึก ยูโร 2024 ครั้งนี้
10. เยอรมัน (Germany)
ผู้จัดการทีม : ยูเลียน นาเกลส์มันน์
ผู้เล่นตัวหลัก : จามาล มูเซียลา
โปรแกรมการแข่งขัน : สกอตแลนด์ (14 มิถุนายน), ฮังการี (19 มิถุนายน), สวิตเซอร์แลนด์ (23 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1972, 1980, 1996)
เยอรมนี ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันโดยอัตโนมัติในฐานะเจ้าภาพ ได้แยกทางกับ ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค ผู้จัดการทีมคนก่อน ในเดือนกันยายน 2023 หลังจากชนะเพียง 4 นัดจาก 17 เกม
ผลงานภายใต้การนำของยูเลียน นาเกิลส์มันน์ ซึ่งจะดูแลทีมจนจบการแข่งขัน ยังคงไม่แน่นอน แต่ทัพอินทรีเหล็กยังคงมีคุณภาพที่จะคว้าแชมป์ยูโรเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี
11. ฮังการี (Hungary)
ผู้จัดการทีม : มาร์โก รอสซี่
ผู้เล่นตัวหลัก : โดมินิก ซ็อบอสซ์ไล
โปรแกรมการแข่งขัน : สวิตเซอร์แลนด์ (15 มิถุนายน), เยอรมนี (19 มิถุนายน), สกอตแลนด์ (23 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : อันดับ 3 (1964)
หลังจากไม่ได้ไปยูโรเป็นเวลานานถึง 44 ปี ตอนนี้ฮังการีได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน และยังมีดอมินิก ซ็อบอสซ์ไล ดาวรุ่งพุ่งแรงจากลิเวอร์พูลอยู่ในทีมชุดนี้ด้วย
ฮังการีทำผลงานได้อย่างน่าพอใจในยูโร 2020 โดยเก็บได้ 2 คะแนนจากการเสมอกับฝรั่งเศส, เยอรมนี และโปรตุเกส แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ โดยจบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม
12. อิตาลี (Italy)
ผู้จัดการทีม : ลูชาโน สปัลเลตตี
ผู้เล่นตัวหลัก : นิโกโล บาเรลลา
โปรแกรมการแข่งขัน : แอลเบเนีย (15 มิถุนายน), สเปน (20 มิถุนายน), โครเอเชีย (24 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1968, 2020)
อิตาลีคือแชมป์เก่า หลังจากเอาชนะอังกฤษในการดวลจุดโทษเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่พวกเขาก็ต้องต่อสู้เพื่อเข้ารอบน็อคเอาท์ เนื่องจากมีทั้งสเปนและโครเอเชียอยู่ในกลุ่ม B เช่นกัน
หลังจากที่โรแบร์โต มันชินี่ ลาออกจากตำแหน่งระหว่างการแข่งขันรอบคัดเลือก ทีมอัซซูร์รี ได้เข้ารอบรองชนะเลิศ รองจากสิงโตคำราม (ทีมชาติอังกฤษ) โดยการันตีตำแหน่งในศึก ยูโร 2024 ด้วยการเสมอกับยูเครนในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก
13. เนเธอร์แลนด์ (Netherland)
ผู้จัดการทีม : โรนัลด์ กุมัน
ผู้เล่นตัวหลัก : เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
โปรแกรมการแข่งขัน : โปแลนด์ (16 มิถุนายน), ฝรั่งเศส (21 มิถุนายน), ออสเตรีย (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1988)
ทีมชาติเนเธอร์แลนด์จบรอบคัดเลือกด้วยอันดับสองรองจากฝรั่งเศส พวกเขามีผู้เล่นมากพรสวรรค์มากมาย อาทิ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แฟรงกี้ เดอ ย็อง และชาบี ซีโมนส์ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อทีมอื่น ๆ ในเยอรมนีอย่างแน่นอน
โรนัลด์ โคแมน เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง หลังจากเคยคว้าแชมป์รายการนี้ในฐานะนักเตะเมื่อปี 1988 ซึ่งถือเป็นแชมป์ระดับเมเจอร์เพียงรายการเดียวของเนเธอร์แลนด์จนถึงปัจจุบัน
14. โปแลนด์ (Poland)
ผู้จัดการทีม : มิคาล ปรูเบียซ
ผู้เล่นตัวหลัก : โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
โปรแกรมการแข่งขัน : เนเธอร์แลนด์ (16 มิถุนายน), ออสเตรีย (21 มิถุนายน), ฝรั่งเศส (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (ปี 2016)
โปแลนด์สามารถจบอันดับที่ 3 รอบคัดเลือกในกลุ่ม ตามหลังแอลเบเนียและเช็ก ทำให้พวกเขาต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟเพื่อรักษาโอกาสเข้าร่วม ยูโร 2024
หลังจากเอาชนะเอสโตเนียไปได้ 5-1 ในรอบรองชนะเลิศของรอบเพลย์ออฟ ทีมชาติโปแลนด์ เอาชนะเวลส์ด้วยการดวลจุดโทษหลังเสมอ 0-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้ารอบสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน
15. โปรตุเกส (Portugal)
ผู้จัดการทีม : โรแบร์โต มาร์ติเนซ
ผู้เล่นตัวหลัก : คริสเตียโน โรนัลโด้
โปรแกรมการแข่งขัน : เช็ก (18 มิถุนายน), ตุรกี (22 มิถุนายน), จอร์เจีย (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (2016)
โปรตุเกสเป็นทีมเดียวที่สามารถผ่านรอบคัดเลือกแบบไร้พ่าย ด้วยการชนะทั้ง 10 เกม ยิงได้ 36 ประตูและเสียเพียง 2 ประตูเท่านั้น
ภายใต้การนำของ โรแบร์โต มาร์ติเนซ อดีตผู้จัดการทีมชาติเบลเยียม ทีมชาติโปรตุเกสหวังที่จะสร้างผลงานอันยอดเยี่ยม เพื่อเป็นการส่งสัญญาณอำลาทีมชาติครั้งสุดท้ายของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ซึ่งถือเป็นการลงเล่นในรายการแข่งขันระหว่างประเทศที่สำคัญ ครั้งที่ 11 และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา
16. โรมาเนีย (Romania)
ผู้จัดการทีม : เอ็ดเวิร์ด อียอร์ดานเนสกู
ผู้เล่นตัวหลัก : ราดู ดรากูชิน
โปรแกรมการแข่งขัน : ยูเครน (17 มิถุนายน), เบลเยี่ยม (22 มิถุนายน), สโลวาเกีย (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (2000)
โรมาเนีย คว้าแชมป์กลุ่ม I ในรอบคัดเลือก ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ลงเล่นในรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 และเป็นครั้งที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
วีรกรรมของพวกเขาในยูโร 2000 คือการผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ จากกลุ่มที่มี อังกฤษ, เยอรมนี และโปรตุเกส ก่อนที่จะพ่ายแพ้ต่อ อิตาลี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
17. สกอตแลนด์ (Scotland)
ผู้จัดการทีม : สตีฟ คลาร์ก
ผู้เล่นตัวหลัก : สกอตต์ แม็คโทมิเนย์
โปรแกรมการแข่งขัน : เยอรมนี (14 มิถุนายน), สวิตเซอร์แลนด์ (19 มิถุนายน), ฮังการี (23 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (1992, 1996, 2020)
สตีฟ คลาร์ก พาสกอตแลนด์คว้าอันดับ 2 ในกลุ่มของตัวเองในรอบคัดเลือก ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ลงเล่นในศึกยูโรเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน และการแข่งขันในยูโร 2024 ครั้งนี้ พวกเขาจะได้ประเดิมสนามกับ เยอรมนี ในนัดเปิดสนาม
สกอตแลนด์ จะต้องลงสนามโดยไร้ซึ่ง ลิวอิส เฟอร์กูสัน กองกลางตัวเก่งจากโบโลญญ่า เนื่องจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาไม่เคยผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ในรายการเมเจอร์ทัวร์นาเมนต์เลย และความพยายามที่จะลบสถิติที่เลวร้ายนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินผลแพ้ชนะกับสวิตเซอร์แลนด์ และฮังการี
18. เซอร์เบีย (Serbia)
ผู้จัดการทีม : ดรากัน สตอยโควิช
ผู้เล่นตัวหลัก : อเล็กซานเดอร์ มิโตรวิช
โปรแกรมการแข่งขัน : อังกฤษ (16 มิถุนายน), สโลวีเนีย (20 มิถุนายน), เดนมาร์ก (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รองชนะเลิศ (1960, 1968)
เซอร์เบียจะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เนื่องจากพวกเขาเคยเข้าร่วมฟุตบอลโลกถึง 4 ครั้งในช่วงเวลานี้
ทีมชาติเซอร์เบียเคยเป็นรองชนะเลิศในการแข่งขันนี้ในปี 1960 และ 1968 ในขณะที่พวกเขายังเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย ทีมชุดนี้เต็มไปด้วยพรสวรรค์มากมาย อาทิ ดูซาน วลาโฮวิช, เซอร์เกย์ มิลินโควิช-ซาวิช และอเล็กซานดาร์ มิโตรวิช อดีตนักเตะฟูแล่ม
19. สโลวาเกีย (Slovakia)
ผู้จัดการทีม : ฟรานเชสโก คัลโซน่า
ผู้เล่นตัวหลัก : มิลาน ชคริเนียร์
โปรแกรมการแข่งขัน : เบลเยี่ยม (17 มิถุนายน), ยูเครน (21 มิถุนายน), โรมาเนีย (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1976)
สโลวาเกียจจบอันดับสองในรอบคัดเลือกตามหลังโปรตุเกส โดยมี ฟรานเชสโก คัลโซน่า ยังคงทำหน้าที่เป็นกุนซือทีมชาติ ทำหน้าที่ควบคู่ไปกับการเป็นกุนซือของสโมสรนาโปลีในบ้านเกิดของเขา
ทีมชาติสโลวาเกียเคยคว้าแชมป์ร่วมกับเชโกสโลวาเกียในปี 1976 ส่วนผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่แยกประเทศ คือ การเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี
20. สโลวีเนีย (Slovenia)
ผู้จัดการทีม : มัตยาซ เคค
ผู้เล่นตัวหลัก : ยัน อ็อบลัค
โปรแกรมการแข่งขัน : เดนมาร์ก (16 มิถุนายน), เซอร์เบีย (20 มิถุนายน), อังกฤษ (25 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (ยูโร 2000)
สโลวีเนียแพ้เพียงสองนัดในรอบคัดเลือก โดยจบอันดับที่สองของกลุ่ม โดยยูโร 2024 เป็นทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกที่พวกเขาเข้าร่วมนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2010
ต้องจับตาดูรอบเจอกับอังกฤษ เบนจามิน เชสโก (Benjamin Sesko) กองหน้าดาวรุ่งวัย 20 ปีจาก RB Leipzig เมื่อพวกเขาพบกันในรอบแบ่งกลุ่มวันที่ 25 มิถุนายน เนื่องจากเชสโกได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในยุโรป และมีข่าวว่าได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่ของยุโรปหลายทีม
21. สเปน (Spain)
ผู้จัดการทีม : ลูอีส เอ็นริเก้
ผู้เล่นตัวหลัก : ร็อดริโก
โปรแกรมการแข่งขัน : โครเอเชีย (15 มิถุนายน), อิตาลี (20 มิถุนายน), แอลเบเนีย (24 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : แชมป์ (1964, 2008, 2012)
สเปนการันตีการเข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่ 12 โดยเป็นรองเพียงเยอรมนีเท่านั้น พวกเขาจบรอบคัดเลือกด้วยการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ชนะ 7 จาก 8 นัด
ลูอีส เอ็นริเก้ (Luis de la Fuente) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในปี 2022 เพื่อแทนที่ ลูอีส เอ็นริเก้ (Luis Enrique) หลังจากสเปนตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก มีความหวังที่จะนำพาทีมสเปนคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 4 ซึ่งจะเป็นสถิติใหม่
22. สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
ผู้จัดการทีม : มูรัต ยาคิน
ผู้เล่นตัวหลัก : กรานิต ชากา
โปรแกรมการแข่งขัน : ฮังการี (15 มิถุนายน), สกอตแลนด์ (19 มิถุนายน), เยอรมนี (23 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (2020)
ยูโร 2024 สวิตเซอร์แลนด์ เข้าร่วมเป็นครั้งที่ 5 ในรอบสุดท้าย 6 ครั้งที่ผ่านมา
ทัพสวิสสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะฝรั่งเศสด้วยการยิงจุดโทษในศึกยูโร 2020 ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับสเปนด้วยการดวลจุดโทษในรอบก่อนรองชนะเลิศ
23. ตุรกี (Turkey)
ผู้จัดการทีม : วินเชนโซ่ มอนเตลล่า
ผู้เล่นตัวหลัก : ฮาคาน คัลฮาโนกลู
โปรแกรมการแข่งขัน : จอร์เจีย (18 มิถุนายน), โปรตุเกส (22 มิถุนายน), เช็ก (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รอบรองชนะเลิศ (2008)
ทัพนักเตะของวินเชนโซ่ มอนเตลล่า ซึ่งมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมอย่าง ฮาคาน ชัลฮาโนğlu จากอินเตอร์ มิลาน และดาวรุ่งพุ่งแรง อาร์ด้า กุเลอร์ จากเรอัล มาดริด สามารถเอาชนะโครเอเชียและเวลส์ ผ่านเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม D
ตุรกีตกรอบแบ่งกลุ่มใน 2 ทัวร์นาเมนต์ล่าสุด แต่เคยสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในปี 2008 ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี 3-2 ในเกมยูโรที่ถือเป็นหนึ่งในแมตช์คลาสสิคตลอดกาล
24. ยูเครน (Ukraine)
ผู้จัดการทีม : เซอร์ฮีย์ เรบรอฟ
ผู้เล่นตัวหลัก : โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้
โปรแกรมการแข่งขัน : โรมาเนีย (17 มิถุนายน), สโลวาเกีย (21 มิถุนายน), เบลเยียม (26 มิถุนายน)
ผลงานที่ดีที่สุด : รอบ 8 ทีมสุดท้าย (2020)
แม้จะพลาดการเข้ารอบโดยตรงด้วยกฏอัตโนมัติ ไปเพียงประตูเดียว ให้กับอิตาลี ยูเครนกลับมาสร้างผลงานพลิกสถานการณ์ที่น่าประทับใจด้วยการเอาชนะ บอสเนียและไอซ์แลนด์ ในรอบเพลย์ออฟ โดยมี มิไคโล มูดริก นักเตะจากเชลซีเป็นคนยิงประตูชัยในนาทีที่ 84 ในเกมกับไอซ์แลนด์
ยูเครน มั่นใจว่าจะสามารถผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ของศึกยูโร 2024 ได้ ซึ่งถือเป็นการกลับมาลงสนามในรายการแข่งขันระดับนานาชาติอีกครั้ง นับตั้งแต่เหตุการณ์รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2022
ติดตามข่าวสารและบทความใหม่ๆเกี่ยวกับ ยูโร 2024 ได้ที่นี่